เวลาเดินไปข้างหน้าทุกวัน
เดินทาง
12/31/2554
10/31/2554
9/02/2554
ภูกระดึง
ไ ป ปี น ภู ก ร ะ ดึ ง กั น ไ ห ม
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 1 ตุลาคม แล้วครับ ซึ่งเป็นวันที่ภูกระดึงเปิดให้ขึ้นเป็นวันแรกของทุกปี ใครอยากไปเปิดซิงภูกระดึง ก็เตรียมตัวกันได้เลยนะครับ
ปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 กันยายน ของทุกปี
เปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 พฤษภาคม ของทุกปี
เปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 พฤษภาคม ของทุกปี
ภูกระดึง คำนี้มันมีเสน่ห์อยู่ในตัวของมันเอง แค่ได้ยินชื่อใครๆก็อยากจะฟังอยากจะไปสัมผัสกับทั้งนั้น ตัวผมเองก็คิดว่าก็งั้นๆแหละแค่ภูกระดึง กว่าจะขึ้นไปถึงยอดภูเหนื่อยๆก็เหนื่อย ขาแทบก้าวไม่ออก เหนื่อยแบบหายใจเอาออกซเจนเข้าปอดไม่ทัน แค่ไม่กี่ก้าว จะไหวไหมเนี่ย แอบถามตัวเองทุกครั้งที่มาปีนภูแห่งนี้ ไม่ใช่ครั้งเดียวเสียด้วยสิที่มา มาครั้งแรกเมื่อปี 2523 ขึ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง มาทุกครั้งก็บ่นทุกครั้ง
ถามตัวเองว่าทำไมถึงมาภูกระดึง คำตอบน่ะรึ ก็ใจอยากมา มากับเพื่อนๆสนุกสนานอย่าบอกใคร ครั้งกระโน้น บนภูไม่มีเต๊นท์ให้เช่าเราต้องเอาผ้าพลาสติกผืนใหญ่ๆมากางเป็นเต๊นท์ ตัดไม้ต้นเล็กๆพอมาทำเสากางเต๊นท์กันน้ำหมอกน้ำค้างกลางดึก มีร้านค้าไม่กี่ร้าน เราต้องเอาอาหารขึ้นมาหุงหาทำกินกันเอง ผิดกับทุกวันนี้ทุกอย่างมีพร้อม มีเต๊นท์ให้เช่าดูเป็นระเบียบ มีบ้านพัก ร้านค้ามีอาหารทุกภาค แต่ค่อนข้างแพง หรือใครเอาอาหารมาทำเองก็มีแก๊สให้เช่า สะดวกพอสมควร นี่ได้ยินข่าวว่าจะทำกะเช้าขึ้นภูอีก อีกหน่อยคงมีห้องพักแบบคอนโด มีอาคารพาณิชย์ แค่นี้นักท่องเที่ยวก็แบบจะเดินชนกันตายบนภูแล้ว ถ้ามีกระเช้า ไม่นานภูกระดึงก็คงตายสนิท
เสน่ห์ของภูกระดึง
เรามาถึงที่ทำการตั้งแต่เช้า เข้าคิวแจ้งความประสงค์ว่ามากี่คน อยู่กี่คืน จองที่พักหรือยัง ก็บอก ณ จุดนี้ จากนั้น ใครมีสัมภาระจะฝากลูกหาบก็ไปที่อาคารชั่งสัมภาระ มีขวดน้ำ มีถุงพลาสติกกี่ใบก็ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยขากลับจะได้เอาลงมาด้วยและเอามาทิ้งข้างล่าง จากนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทาง เดินและก็เดิน
ถามตัวเองว่าทำไมถึงมาภูกระดึง คำตอบน่ะรึ ก็ใจอยากมา มากับเพื่อนๆสนุกสนานอย่าบอกใคร ครั้งกระโน้น บนภูไม่มีเต๊นท์ให้เช่าเราต้องเอาผ้าพลาสติกผืนใหญ่ๆมากางเป็นเต๊นท์ ตัดไม้ต้นเล็กๆพอมาทำเสากางเต๊นท์กันน้ำหมอกน้ำค้างกลางดึก มีร้านค้าไม่กี่ร้าน เราต้องเอาอาหารขึ้นมาหุงหาทำกินกันเอง ผิดกับทุกวันนี้ทุกอย่างมีพร้อม มีเต๊นท์ให้เช่าดูเป็นระเบียบ มีบ้านพัก ร้านค้ามีอาหารทุกภาค แต่ค่อนข้างแพง หรือใครเอาอาหารมาทำเองก็มีแก๊สให้เช่า สะดวกพอสมควร นี่ได้ยินข่าวว่าจะทำกะเช้าขึ้นภูอีก อีกหน่อยคงมีห้องพักแบบคอนโด มีอาคารพาณิชย์ แค่นี้นักท่องเที่ยวก็แบบจะเดินชนกันตายบนภูแล้ว ถ้ามีกระเช้า ไม่นานภูกระดึงก็คงตายสนิท
เสน่ห์ของภูกระดึง
เรามาถึงที่ทำการตั้งแต่เช้า เข้าคิวแจ้งความประสงค์ว่ามากี่คน อยู่กี่คืน จองที่พักหรือยัง ก็บอก ณ จุดนี้ จากนั้น ใครมีสัมภาระจะฝากลูกหาบก็ไปที่อาคารชั่งสัมภาระ มีขวดน้ำ มีถุงพลาสติกกี่ใบก็ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยขากลับจะได้เอาลงมาด้วยและเอามาทิ้งข้างล่าง จากนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทาง เดินและก็เดิน
เสน่ห์ของภูกระดึง อยู่ที่การได้เดินขึ้นทีละก้าว แม้ว่าการเดินแต่ละก้าวนั้นจะเหนื่อยขนาดไหนก็ตามทุกคนก็มีจุดหมายเดียวกัน ออกเดินไม่เท่าไหร่เราก็เริ่มเหนื่อย ออกซิเจนเข้าปอดน้อยลงทุกที หายใจไม่ทันเอาเสียเลย แต่ก็พยามยามเดิน เดินปินป่ายลากขาก้าวขึ้นทีละข้าง จากตีนภู1 กิโลเมตร ก็มาถึงซำแฮก ซำในภาษาอีสานหมายถึงบริเวณที่มีน้ำขังหรือน้ำซับที่ซึมมาจากใต้ดิน แฮก เป็นชื่อเรียกผีที่คอยคุ้มครองเรา ซำแฮกไม่ได้หมายถึงเดินจนหอบแฮ่กๆ นั่งพักที่นี่สักพักดื่มน้ำ ที่นี่มีร้านค้าพ่อค้าแม่ค้าอัธยาศัยดี พอหายเหนื่อยแล้วก็ค่อยเดินต่อไป แล้วก็จะผ่านซำต่างๆ
- ซำบอน หมายถึงบริเวณที่ต้นบอนขึ้นอยู่มาก ระยะทางที่ต้องเดินจากซำแฮกไปยังซำบอนยาวประมาณ 700 เมตร
- ซำกกกอก หมายถึงบริเวณที่ต้นมะกอกขึ้นอยู่มาก ระยะทางที่ต้องเดินจากซำบอนไปยังซำกกกอกยาวประมาณ 360 เมตร
- ซำกกหว้า หมายถึงบริเวณที่ต้นหว้าขึ้นอยู่มาก ระยะทางที่ต้องเดินจากซำกกกอกไปยังซำกกหว้ายาวประมาณ 880 เมตร
- ซำกกไผ่ หมายถึงบริเวณที่ต้นไผ่ขึ้นอยู่มาก ระยะทางที่ต้องเดินจากซำกกหว้าไปยังซำกกไผ่ยาวประมาณ 580 เมตร
- ซำกกโดน หมายถึงบริเวณที่ ต้นกระโดน ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นทางอีสานขึ้นอยู่ ระยะทางที่ต้องเดินจากซำกกไผ่ไปยังซำกกโดนยาวประมาณ 300 เมตร
- ซำแคร่ ระยะทางที่ต้องเดินจากซำกกโดนไปยังซำแคร่ยาวประมาณ 588 เมตร
- จากซำแคร่ ไปหลังแป ระยะทาง 1020 เมตร และจากหลังแปไปที่พักอีก 3600 เมตร
- ซำบอน หมายถึงบริเวณที่ต้นบอนขึ้นอยู่มาก ระยะทางที่ต้องเดินจากซำแฮกไปยังซำบอนยาวประมาณ 700 เมตร
- ซำกกกอก หมายถึงบริเวณที่ต้นมะกอกขึ้นอยู่มาก ระยะทางที่ต้องเดินจากซำบอนไปยังซำกกกอกยาวประมาณ 360 เมตร
- ซำกกหว้า หมายถึงบริเวณที่ต้นหว้าขึ้นอยู่มาก ระยะทางที่ต้องเดินจากซำกกกอกไปยังซำกกหว้ายาวประมาณ 880 เมตร
- ซำกกไผ่ หมายถึงบริเวณที่ต้นไผ่ขึ้นอยู่มาก ระยะทางที่ต้องเดินจากซำกกหว้าไปยังซำกกไผ่ยาวประมาณ 580 เมตร
- ซำกกโดน หมายถึงบริเวณที่ ต้นกระโดน ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นทางอีสานขึ้นอยู่ ระยะทางที่ต้องเดินจากซำกกไผ่ไปยังซำกกโดนยาวประมาณ 300 เมตร
- ซำแคร่ ระยะทางที่ต้องเดินจากซำกกโดนไปยังซำแคร่ยาวประมาณ 588 เมตร
- จากซำแคร่ ไปหลังแป ระยะทาง 1020 เมตร และจากหลังแปไปที่พักอีก 3600 เมตร
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ระหว่างทางเราก็มักจะได้ยินคำว่า อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว จากปากของนักท่องเที่ยวที่กำลังกลับลงมา บางคนกระเตงลูกตัวเล็กๆกลับลงมา โห.....นี่เด็กตัวไม่ถึงขวบก็มาปีนเขาด้วยหรือนี่แทบไม่น่าเชื่อตาตัวเอง ถ้าอย่างนั้นเราต้องไปให้ถึงยอกเขาให้ได้ จนในที่สุดเราก็มาเป็นผู้พิชิตภูกระดึงจนได้ นั่งพักสักนิด เดินมองลงไปพื้นล่างมันก็ทำให้เราหายเหนื่อย แต่เราต้องเดินต่ออีก2-3กิโลเมตร ก็จะถึงที่พัก มาถึงที่นี่เราต้องเอาใบเสร็จที่เราจองที่พักไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ให้เรียบร้อย จะเช่าถุงนอน หมอน ผ้าห่ม ก็มีให้เช่า ใครจะชาร์ตแบตฯ ก็มีให้เสียค่าบริการนิดหน่อยและเปิดให้ชาร์ตเป็นเวลา
หากใครมาถึงเร็วพอมีเวลาจะเดินไปชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกก็ทัน หรือไม่อยากไปก็เตรียมตัวจัดสัมภาระที่ติดตัวมา ถ้าใครฝากลูกหาบก็รอลูกหาบเอามาส่ง จากนั้นก็เตรียมตัวไปอาบน้ำ พูดเรื่องอาบน้ำแล้วขนลุก น้ำเย็นพอๆกับน้ำในตู้เย็นเลยล่ะครับ หนาวไปถึงตับเลย แต่ก็ต้องอาบ พออาบเสร็จมันก็จะอุ่นขึ้นมาทันที แต่น้ำหยดแรกที่จะโดนตัวนี่สิต้องนับสิบกันเลยทีเดียว อาบเสร็จก็เดินชมวิวกินลมเย็นๆ ยิ่งดวงอาทิตย์อ่อนแสงลงเท่าไหร่ ก็หนาวลงไปทุกทีเลยล่ะ ไปหาอะไรทานมื้อเย็นกลับมาจะได้นอนพักเอาแรง พรุ่งนี้เช้ามีนัดกับดวงอาทิตย์ที่ผานกแอ่น จะได้ตื่นแต่เช้าไปทักทายกันซะหน่อย ถ้าโชคดีก็จะได้เห็นทะเลหมอก โชคดีน้อยหน่อยก็จะไม่เห็นแต่อาจจะเห็นแค่ดวงอาทิตย์แหวกม่านเมฆมาทักทายเท่านั้น
.........ยังมีต่อเด้อ..........
หากใครมาถึงเร็วพอมีเวลาจะเดินไปชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกก็ทัน หรือไม่อยากไปก็เตรียมตัวจัดสัมภาระที่ติดตัวมา ถ้าใครฝากลูกหาบก็รอลูกหาบเอามาส่ง จากนั้นก็เตรียมตัวไปอาบน้ำ พูดเรื่องอาบน้ำแล้วขนลุก น้ำเย็นพอๆกับน้ำในตู้เย็นเลยล่ะครับ หนาวไปถึงตับเลย แต่ก็ต้องอาบ พออาบเสร็จมันก็จะอุ่นขึ้นมาทันที แต่น้ำหยดแรกที่จะโดนตัวนี่สิต้องนับสิบกันเลยทีเดียว อาบเสร็จก็เดินชมวิวกินลมเย็นๆ ยิ่งดวงอาทิตย์อ่อนแสงลงเท่าไหร่ ก็หนาวลงไปทุกทีเลยล่ะ ไปหาอะไรทานมื้อเย็นกลับมาจะได้นอนพักเอาแรง พรุ่งนี้เช้ามีนัดกับดวงอาทิตย์ที่ผานกแอ่น จะได้ตื่นแต่เช้าไปทักทายกันซะหน่อย ถ้าโชคดีก็จะได้เห็นทะเลหมอก โชคดีน้อยหน่อยก็จะไม่เห็นแต่อาจจะเห็นแค่ดวงอาทิตย์แหวกม่านเมฆมาทักทายเท่านั้น
.........ยังมีต่อเด้อ..........
8/29/2554
วัดบางกุ้ง
สวัสดีครับวันนี้เราจะไปเที่ยววัดบางกุ้ง ไปไหว้หลวงพ่อนิลมณี ไปดูโบสถ์ปรกโพธิ์ให้เห็นกับตาว่า จะตื่นตาตื่นใจกันขนาดไหน งั้นตามมาเลยครับ ก็เดินทางเส้นเดิม อย่างน้อยก็ได้นั่งรถไฟฟรีแหละครับ ประหยัดเงิน เพราะสภาพรถไฟก็ไม่ถึงกับแย่จนโดยสารไม่ไหวหรอกน่า แต่เที่ยวนี้ก็พลาดรถไฟขบวนแรกเพราะคิดเอาเองว่าคงไปทันเที่ยวแรกของขบวนบ้านแหลม-แม่กลอง ที่ไหนได้ไปถึงบ้านแหลมหลังจากที่รถไฟออกไปไม่กี่นาที
รถไฟเที่ยวแรกจากสถานีวงเวียนใหญ่ 5:30 น. และจะสามารถไปทันรถไฟเที่ยวแรกของ บ้านแหลม-แม่กลอง ถ้าใครมีรถส่วนตัวก็ไม่ต้องดูตารางจากวงเวียนใหญ่นะครับ ก็ดูเฉพาะของแม่กลองก็พอ เพื่อจะได้ไปตื่นเต้นกับตลาดร่มหุบไงครับ
เที่ยวนี้ที่ไปวัดบางกุ้ง ออกจากวงเวียนใหญ่เที่ยวเจ็ดโมงเช้าและต้องไปนั่งรอที่สถานีบ้านแหลมเกือบสองชั่วโมง แต่ก็ทนรอได้และอย่าลืมรับตั๋ฟรีนะครับ ไม่นานเท่าไหร่ มีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติเริ่มทยอยมาเรื่อยๆ ก็ยังดีที่ได้พูดคุยกับคนนั้นทีคนนี้ที คนไทยนี่ดีมีน้ำใจพูดคุยสนิทสนมเสมือนญาติ คงหาแบบนี้ไม่ได้จากชาติอื่นๆ
เรานั่งรอจนถึงสิบโมง รถไฟก็ยังไม่มาแต่ก็รอไม่นาน พอรถไฟมาถึงคนโดยสารขึ้นหมด รถไฟก็ไำม่ขยับ เห็นช่างบอกว่ามีปัญหาที่แบตเตอรี่ แก้ไขไม่นานก็ฉึกๆฉักๆออกไปได้ทันที บรรยากาศในรถไฟดูมันก็มีเสน่ห์ไม่น้อย ความงามที่ง่ายๆ ผ่านแต่ละสถานีบางคนที่รู้จักกันเจอกันบนรถไฟก็ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบแบบชาวบ้านๆ ดูอบอุ่นดี ไม่นานก็มาถึงมหาชัย เราเดินไปที่ท่าเรือเพื่อจะข้ามไปท่าฉลอม วันนี้แถวมหาชัยมีเรือประมงลำใหญ่ๆแล่นอยู่กลางลำน้ำ เป็นภาพที่คนอย่างเราไม่คุ้นตาแต่บอกว่ามันได้อารมณ์จนอดที่จะถ่ายรูปไม่ได้เลยทีเดียว
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
______________________________________________________________________________________________________
โบสถ์ปรกโพธิ์ วัดบางกุ้ง
พอมาถึงแม่กลองก็อดตื่นเต้นกับตลาดแห่งนี้ไม่ได้เสียทุกทีไป คงไม่มีใครนั่งอยู่เฉยๆได้เป็นแน่ ก็บ้านผมไม่มีแบบนี้นี่นา ดูสินักท่องเที่ยวรุมกันมาถ่ายรูปกันเป็นร้อย ก็แค่พ่อค้าแม่ค้าเก็บร่มกันแดดฝนทำไมถึงมีคนมาดูได้ทุกวัน อยากรู้ว่าคนเยอะขนาดไหนก็ลองไปดูให้เห็นกับตาสักครั้งเถอะน่าเดี๋ยวจะหาว่าผมพูดไม่จริง
วันนี้เรามาสายไปหนึ่งชั่วโมง แวะกินข้าว แล้วเดินไปท่ารถสองแถวที่เราเคยมาครั้งแรก ถามแม่ค้าเจ้าเดิม แม่ค้าก็บอกว่ารถจอดใกล้กับที่ไปอัมพวานั่นแหละ อยู่ตรงที่เขาขายต้นไม้เยอะๆ รถสองแถวที่เขียนว่า ปราโมทย์ รถคันนี้จะผ่านหน้าวัดบางกุ้งพอดีเลย เรากล่าวขอบคุณแม่ค้าแล้วก็เดินไปท่ารถ
ค่ารถ 18 บาท จากแม่กลองมาวัดบางกุ้งก็ไม่แพงหรอก รถข้ามแม่น้ำ ผ่านสวน แถวนี้โฮมเสตย์ มีแทบทุกสวน ถ้าได้มาพักสักคืนสองคืนก็คงจะดีไม่น้อย เพราะแถวนี้ร่มรื่นย์เสียจริงๆ สองข้างทางมีส้มโอ กล้วยน้ำหว้าชาวสวนเอามาวางขายเยอะไปหมด เสียดายรถไม่จอดไม่งั้นจะซื้อกลับมาสักเครือ เพราะผมเองชอบกินกล้วยน้ำหว้า เส้นทางนี้ มีสวนสลับกับวัด วัดเยอะจริงๆมีแทบทุกซอยล่ะมั้งครับ นับไม่ถ้วนเลยว่ามีกี่วัด
ความที่เราไม่เคยมาวัดนี้ เราก็ไม่รู้ว่าวัดอยู่ตรงช่วงไหน ดีที่ถามยาย ยายใจดีบอกว่า รถผ่านหน้าวัดเลย เดี๋ยวยายจะบอกถ้าถึงวัด ผมยกมือไหว้เพื่อตอบแทนน้ำใจยายใจดีท่านนั้น แล้วเราก็มาถึงหน้าวัด วันนี้ผู้คนเยอะพอสมควร
โบสถ์ปรกโพธิ์วัดบางกุ้งมองแทบไม่เห็นตัวโบสถ์เพราะรากโพธิ์ ไทร ไกร กร่าง ยึดคลุมไปทั้งตัวโบสถ์เหลือแค่ประตูกับหน้าต่างเล็กๆไม่กี่ช่องเท่านั้นเอง ภายในจะมีหลวงพ่อนิลมณีประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยปลายกรุศรีอยุธยาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ ถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ผู้คนพอกันมากราบไหว้เยอะพอสมควรในวันนั้น แต่แปลกใจอยู่อย่างว่าทำไมต้องให้ผู้หญิงนุ่งสั้นๆเดินขึ้นไปปิดทองแล้วเดินอ้อมลงมาอีกทาง และพระพุทธรูปที่อยู่ข้างล่างก็อยู่่ำต่ำกว่าทางเดินที่เดินขึ้นไปปิดทององค์หลวงพ่อเสียอีก ในความคิดส่วนตัวผมแล้ว ผมว่ามันดูไม่งามเลยที่เดียวล่ะ
วัดบางกุ้ง อยู่คนละฝั่งกับ ค่ายบางกุ้ง หลังจากเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ได้โปรดให้ยกกองทัพเรือ มาตั้งค่ายที่ตำบลบางกุ้ง เรียกว่า ค่ายบางกุ้ง เนื่องจากเมืองแม่กลองเป็นเส้นทางที่กองทัพพม่าใช้ในการเดินทัพ โดยสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้ง ให้อยู่กลางค่ายเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นที่เคารพบูชาของทหาร
พระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดให้คนจีนจากระยอง ชลบุรี ราชบุรีและกาญจนบุรี รวบรวมผู้คนมาตั้งเป็นกองทหารรักษาค่าย ค่ายนี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนี่งว่า "ค่ายจีนบางกุ้ง" พระองค์ทรงให้ชื่อทหารเหล่านี้ว่า “ทหารภักดีอาสา” ในปี พ.ศ. 2311 พระเจ้ากรุงอังวะทรงยกทัพผ่านกาญจนบุรี มาล้อมค่ายจีนบางกุ้ง พระเจ้าตากสินมหาราชและพระมหามนตรี (บุญมา) ร่วมรบขับไล่กองทัพพม่า ทำให้ข้าศึกแตกพ่าย นับเป็นค่ายทหารไทยที่สร้างความเกรงขามให้กองทัพพม่า สร้างขวัญกำลังใจให้คนไทยกลับคืนมา และเป็นสงครามครั้งแรกที่ไทยทำกับพม่า
หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี ค่ายบางกุ้งแห่งนี้ถูกปล่อยให้รกร้างเกือบ 200 ปี จนมาถึงปี พ.ศ. 2510 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ตั้งเป็นค่ายลูกเสือขึ้น เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระเจ้าตากสินมหาราช และได้สร้างศาลพระเจ้าตากสินไว้เป็นอนุสรณ์ โดยทำพิธียกศาลเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 ภายในบริเวณค่าย ยังมีโบสถ์ที่สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ชาวบ้านเรียกว่า “โบสถ์หลวงพ่อดำ” มีลักษณะพิเศษคือ โบสถ์ทั้งหลังปกคลุมด้วยด้วยต้นไม้ถึงสี่ชนิด คือ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร ต้นกร่าง ชาวบ้านเรียกว่าโบสถ์ปรกโพธิ์ และไม่ไกลนักเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ว่างๆว่าเดินทางไปเที่ยวให้สุขใจได้บุญได้ความรู้กันนะครับ
______________________________________________________________________________________________________
![]() |
แม่กลอง |
![]() |
คนเยอะจริงๆ |
8/27/2554
อัมพวา
ได้ยินแต่คนพูดถึงอัมพวา เคยได้ฟังเพลงสาวอัมพวา ก็ยังไม่รู้หรอกว่าอัมพวาอยู่ตรงไหน รู้แต่ว่าอยู่สมุทรสงคราม ยินเขาพูดกันว่าอัมพวามีตลาดน้ำ มีทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เออ...ก็น่าสนใจนะ เพราะส่วนมากเคยเห็นรูปตลาดน้ำดำเนินสะดวกเท่านั้น(ก็ยังไม่เคยไปเหมือนกัน) ใจก็อยากไปตลาดน้ำดำเนินสะดวกนั่นแหละ แค่พอค้นข้อมูลแล้วไปยากไปเย็นเหลือเกิน ความเพราะไม่มีรถส่วนตัวนี่สิ งั้นเราน่าจะไปเที่ยวดูสักครั้งเนาะ คงไม่แตกต่างกันมากล่ะมั้ง ว่าแล้วก็ค้นหาข้อมูลทางกูเกิล ก็พอจะมองเห็นภาพลางๆว่าจะเดินทางไปอย่างไร คิดว่าสักวันก็คงมีโอากาศไปเยี่ยมอัมพวาบ้างสักครั้ง
จนถึงวันเวลาที่คงจะได้ไปอัมพวาเป็นแน่แท้ ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางเพื่อนก็เอ่ยปากชวนว่าวันหยุดไปเที่ยวไหนกันดี ผมก็เสนอไปว่า ไปอัมพวากันไหม เพื่อนถามกลับมาว่าเคยไปมารึยัง ผมตอบกลับไปว่ายัง แล้วก็ค้นหาข้อมูลอีกครั้งเพื่อนความแน่ใจ และก็นัดเพื่อนที่สถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ ไม่ใช่สถานีรถไฟฟ้านะครับ เราจะนั่งรถไฟไปอัมพวากัน
จนถึงวันเวลาที่คงจะได้ไปอัมพวาเป็นแน่แท้ ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางเพื่อนก็เอ่ยปากชวนว่าวันหยุดไปเที่ยวไหนกันดี ผมก็เสนอไปว่า ไปอัมพวากันไหม เพื่อนถามกลับมาว่าเคยไปมารึยัง ผมตอบกลับไปว่ายัง แล้วก็ค้นหาข้อมูลอีกครั้งเพื่อนความแน่ใจ และก็นัดเพื่อนที่สถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ ไม่ใช่สถานีรถไฟฟ้านะครับ เราจะนั่งรถไฟไปอัมพวากัน

ก็พร้อมกันที่สถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ที่เป็นจุดนัดหมาย รับตั๋วโดยสารฟรีที่ช่องจำหน่าวตั๋ว ออกจากวงเวียนใหญ่7โมงเช้า มุ่งหน้าไปยังมหาชัย
ถึงมหาชัย เดินลงรถไฟฝั่งซ้ายมือ เดินผ่านตลาด ฝั่งนี้มีแต่อาหารทะเลเต็มไปหมดสองข้างทาง แล้วเราก็รีบเดินมาจนถึงท่าเรือมหาชัย ทำให้หวนนึกถึงเพลงท่าฉลอมขึ้นมาทันใด อดที่จะร้องเบาๆไม่ได้ ก็อย่างที่เพลงร้องไว้ ท่าฉลอมกับมหาชัยจะคิดทำไมว่าไกล เชื่อมความรักไว้ดีกว่า.... ก็ไม่ไกลหรอกครับ ตอนนี้ค่าเรือ 3 บาทเอง
เรือข้ามฟากมาถึงท่าฉลอม ใครจะมาฝั่งนี้ก็ต้องข้ามเรือเท่านั้น รถมอเตอร์ไซค์ก็ข้ามมากับเรือนี่แหละครับ ผมกับเพื่อนพอถึงฝั่งก็เดินมาเจอสามแยก เออ...จะไปทางไหนดี ถามคนแถวนั้นก็น่าจะรู้ว่าจะไปแม่กลองจะไปอย่างไร เพราะเราต้องนั่งรถไฟจากสถานีบ้านแหลมไปแม่กลอง ผู้ใจดีแถวนั้นบอกว่าเดินไปทางนั้น ชี้ไปทางซ้ายมือของเรา แล้วเราก็เดินมาจนถึงสถานีรถไฟบ้านแหลม ก็ไปรับตั๋วฟรีอีกเหมือนเดิม
เราคิดว่าเราออกเดินทางแต่เช้าแล้วนะ แต่ก็ยังต้องมานั่งรอรถไฟสายบ้านแหลม-แม่กลอง คือรถไฟจะมีขบวนเดียววิ่งไปกลับ ดังนั้นเราจำเป็นต้องรอ พอ10โมงรถไฟก็มาถึงและพร้อมที่จะออก
รถไฟสายนี้เป็นสายที่สั้นที่สุดในประเทศไทย จากบ้านแหลมไปแม่กลอง รถไฟวิ่งผ่านดงจาก ป่าโกงกาง ได้เห็นฝูงนกนับร้อย เห็นวิถีชาวบ้านแถวนี้ที่ใช้เรือเป็นพาหนะ เพราะไม่มีถนนให้รถวิ่ง
ระหว่างทางก็ดูจะตื่นตาตื่นใจพอสมควรยิ่งไปกว่านั้นรถไฟวิ่งลุยน้ำ เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ เพราะแถวนี้มีน้ำขึ้นน้ำลง ถ้ามาเช้าก็ได้นั่งรถไฟลุยน้ำ ถ้ามาสายก็ไม่ได้ลุยอดตื่นเต้นน่าเสียดาย
พอรถไฟมาถึงแม่กลอง ก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก นี่ไงที่เขาเรียกตลาดรุ่มหุบ เป็นเพราะรางรถไฟอยู่กลางตลาด พอรถไฟมาที พ่อค้าแม่ค้าก็ต้องรีบหุบร่ม ดึงผ้าใบกลับเพื่อไม่ให้โดนรถไฟชน ข้างล่างมีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควรที่รอมาถ่ายรูป คนบนรถไฟก็ถ่าย คนข้างล่างก็ถ่าย แต่ละคนดูใบหน้าเปื้อนยิ้มแทบจะทุกคน มีความสุขไปตามๆกัน
มาถึงแม่กลอง11โมงเศษ แวะหาอะไรทานแถวนั้นก่อน หรือจะรอไปทานที่อัมพวาก็ตามสะดวก ใจก็อยากแวะไปไหว้หลวงพ่อวัดบ้านแหลม(วัดเพชรสมุทรวรวิหาร) แต่เราคิดว่าเวลามีจำกัด พอหาอะไรทานแถวๆใกล้วัดอิ่ม ก็ออกเดินไปตรงไปจะเห็นร้านแว่นตาชื่อดังอยู่ไกลๆโน้น เราเดินไปตามคำตอบที่แม่ค้าแถวนั้นบอกว่าต้องเดินไปทางนั้นแล้วเลี้ยวขวาจะเห็นคิวรถสองแถวที่จะไปอัมพวา เราเดินมาถึงและถามว่ารถคันไหนไปอัมพวา พอคนเต็มคันรถก็ได้เวลาออก ค่ารถ18บาท ใช้เวลาเดินทางไม่กี่นาทีก็ถึงอัมพวา จุดหมายที่เรามาเยือน
เีราเดินลัดเลาะมาชมความเป็นอัมพวา ถ่ายภาพตามที่ใจต้องการ ก็เดินชมกันไปเรื่อยๆ บรรยายไม่ไหวครับ ใครอยากชมอยากสัมผัสความเป็นอัมพวาก็ต้องมาด้วยตัวเองล่ะครับ จะมาค้างแรมเพื่อพายเรือดูหิ่งห้อย ก็มีที่พักให้พร้อม แต่ผมกับเพื่อนก็คงไม่ค้างหรอกครับเพราะเรามาเที่ยวแบบประหยัดไปกลับกัน เราจะเดินเที่ยวกันอีกสักพักก็คงจะได้เวลากลับไปแม่กลองเพราัะรถไฟเที่ยวสุดท้ายออกจากแม่กลอง 15:30 น.
ได้เวลากลับ เราเดินออกมารอรถที่ฝั่งตรงข้ามที่เรามา รอไม่นานรถก็มา เรากลับมาลงที่หน้าวัดบ้านแหลม เข้าไปกราบไหว้ขอพรหลวงพ่อ แล้วก็มาถึงสถานีแม่กลอง เก็บถาพสุดท้ายเป็นตารางเวลาเดินรถไฟ เผื่อที่ใครอยากนั่งรถไฟเที่ยวบ้างจะได้กะเวลาให้ถูกจะได้ไม่ต้องมานั่งรอรถไฟออกถ้ามาช้า หรือใครจะขับรถมาเองก็คงหาทางมาไม่ยาก จะแวะมาดูตลาดร่มหุบก็ดูตารางรถไฟขาเข้าขาออกได้ครับ
เที่ยวคราวนี้ก็คุ้มค่ามากๆ ค่าเดินทางไม่ถึงร้อยแต่ไปไกลได้ถึงอัมพวาแน่ะ สุขใจจริงๆ ใครอยากนั่งรถไฟลุยน้ำไปอัมพวาก็เตรียมตัวให้พร้อมกันเลย...ลุย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)